กาแฟสด

วันพุธที่ 27 พฤษภาคม พ.ศ. 2558

อาหารเพื่อสุขภาพ เมนูป้องกันมะเร็ง


โรคมะเร็งมีลักษณะพิเศษ คือ มีการแบ่งตัวของเซลล์ที่ผิดปกติ เซลล์พวกนี้จะแพร่กระจายไปอย่างอิสระ และทำลายอวัยวะและเนื้อเยื่อต่างๆ การแบ่งตัวของเซลล์เริ่มต้นที่ใดก็มักจะเรียกชื่อมะเร็งตามที่นั้นๆ เช่น มะเร็งลำไส้ใหญ่ มะเร็งตับ มะเร็งเต้านม เป็นต้น

มะเร็งเกิดขึ้นจากเซลล์เพียงเซลล์เดียว แต่สามารถแพร่กระจายเป็นทวีคูณได้อย่างรวดเร็ว เพราะเซลล์เหล่านี้เป็นเซลล์ที่ผิดปกติ จึงไม่ทำหน้าที่เหมือนเดิม เซลล์พวกนี้จะดึงเอาสารอาหารในร่างกายมาใช้ในการเจริญเติบโต และทำลายเซลล์ปกติในอวัยวะหรือเนื้อเยื่อนั้นๆ เมื่อทิ้งไว้นานเข้าเซลล์มะเร็งนี้จะเริ่มรุกรานไปยังอวัยวะอื่นๆ

สาเหตุของโรคมะเร็งยังไม่ทราบแน่ชัด แต่มี สารก่อมะเร็ง ที่อาจมาจากเชื้อไวรัสและสารเคมีบางชนิด ตลอดจนปัจจัยทางสภาพแวดล้อมและนิสัยการบริโภค มีโรคมะเร็งบางชนิดที่มีพันธุกรรมเกี่ยวข้องด้วย


ปัจจัยเสี่ยงบางอย่างสามารถควบคุมได้ ดังนั้นวิธีที่ดีที่สุดคือการป้องกันไม่ให้มะเร็งเกิดขึ้นตั้งแต่ต้น และวิธีรักษาที่ดีที่สุดเมื่อมะเร็งเกิดขึ้นแล้ว คือ การหยุดการแพร่กระจายให้เร็วที่สุด นั่นคือต้องตรวจพบในระยะเนิ่นๆ การตรวจร่างกายเป็นประจำอย่างน้อยปีละครั้งเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่งสำหรับทุกคน
สารอาหารที่ช่วยลดความเสี่ยงของโรคมะเร็ง ความสัมพันธ์ระหว่างอาหารกับโรคมะเร็งอาจไม่ชัดเจนเท่ากับอาหารกับโรคหัวใจ แต่มีโรคมะเร็งบางชนิดโดยเฉพาะมะเร็งลำไส้ใหญ่ มะเร็งต่อมลูกหมาก และมะเร็งเต้านม ที่อาจมีส่วนเกี่ยวข้องกับนิสัยการกินดื่ม และ คำแนะนำสำหรับการป้องกันโรคมะเร็งไม่แตกต่างจากคำแนะนำอาหารเพื่อสุขภาพทั่วไปมากนัก อย่างเช่น




รับประทานผักและผลไม้มากๆ ผักและผลไม้มีสารอาหารที่ดีต่อสุขภาพกว่า 100 ชนิด ทั้งวิตามิน เกลือแร่ เส้นใยอาหาร และสารอื่นๆ ผู้เชี่ยวชาญแนะนำให้รับประทานผักและผลไม้สีเข้ม ๆ วันละ 5 ส่วน ซึ่ง 1 ส่วนที่ว่านี้ เท่ากับ ผักสุก 1 ทัพพี หรือ ผลไม้ประมาณ 6-8 ชิ้นคำ หรือ 1 ลูกเล็ก ผักและผลไม้หลายชนิดมี เบต้าแคโรทีน (ซึ่งเปลี่ยนเป็นวิตามินเอในร่างกาย) วิตามินซี อี และซีเลเนียม วิตามินและเกลือแร่เหล่านี้เป็นสารต้านอนุมูลอิสระ ซึ่งช่วปกป้องเซลล์ต่างๆ ในร่างกายจากการถูกทำลาย นอกจากนี้สารต้านอนุมูลอิสระยังช่วยเพิ่มภูมิต้านทานให้ร่างกายอีกด้วย สารต้านมะเร็งอื่นๆ ที่พบในผักและผลไม้ ได้แก่ เส้นใยอาหาร ซึ่งมีส่วนช่วยลดความเสี่ยงต่อมะเร็งในลำไส้ใหญ่ และสารไฟโ ตเคมิคอล ซึ่งพบในอาหารจากพืช พืชผักจะผลิตสารไฟโตเคมิคอลขึ้นมาเพื่อปกป้องจากเชื้อไวรัส เชื้อแบคทีเรีย และเชื้อราต่างๆ ตัวอย่างสารไฟโตเคมิคอล ได้แก่ แคโรเทอนอยด์ หรือเบต้าแคโรทีน ในผักสีเขียวเข้ม ส้ม เหลือง สารอูทีนในบร็อคโคลีและผักใบเขียวเข้ม และสารไลโคพีนในมะเขือเทศ สารไฟโตเคมิคอลมีกระบวนการทำงานต่างกัน บางชนิดมีหน้าที่ช่วยเอนไซม์ลดปฏิกิริยาของสารก่อมะเร็งลง หรือบางชนิดอาจทำลายสารเหล่านี้เลย ผักตระกูลกะหล่ำเป็นอีกกลุ่มหนึ่งที่อาจมีส่วนช่วยลดสารก่อมะเร็งลง โดยเฉพาะมะเร็งลำไส้ใหญ่ ผักเหล่านี้ได้แก่ ดอกกะหล่ำ บร็อคโคลี ผักกาด แขนงผัก หัวไชเท้า และผักวอเตอร์เครส อุดมไปด้วย เบต้าแคโรทีน วิตามินซี และไฟเบอร์ นอกจากนี้ยังเป็นแหล่งของแคลเซียม ธาตุเหล็ก และกรดโฟลิคที่ดีต่อสุขภาพด้วย

เลือกรับประทานเมล็ดถั่ว ธัญพืช ผู้เชี่ยวชาญพบว่าการรับประทานอาหารที่มีเส้นใยอาหารสูง อาจช่วยลดความเสี่ยงของมะเร็งลำไส้ใหญ่ได้ สาเหตุก็คือ เส้นใยอาหารช่วยให้ของเสียผ่านลำไส้ใหญ่ได้เร็วขึ้น สารก่อมะเร็งที่เป็นอันตรายจึงไม่สามารถมีเวลาทำปฏิกิริยากับผนังลำไส้ได้นาน เพื่อให้ได้รับเส้นใยอาหารอย่างเพียงพอ แนะนำให้รับประทานผลไม้อย่างน้อย 2 ส่วน ผัก 3 ทัพพี ข้าวกล้อง เมล็ดถั่ว และธัญพืชอีก 3 ทัพพี ต่อวัน ถ้าใครไม่ชินกับอาหารที่มีกากใยสูง นั่นคือ ถ้ารับประทานมากๆ จะทำให้เกิดลม แน่นท้อง หรือถ่ายท้องมาก ควรป้องกันโดยค่อยๆ เพิ่มอาหารที่มีกากใยสูงทีละอย่าง จนร่างกายเกิดความเคยชิน เมื่อรับประทานอาหารที่มีกากใยสูง ควรดื่มน้ำตามมากๆ ด้วย เพราะเส้นใยอาหารนี้เป็นเหมือนฟองน้ำที่ดูดน้ำจากลำไส้ใหญ่ ช่วยเจือจางสารก่อมะเร็ง ทำให้ของเสียต่างๆ ผ่านลำไส้ใหญ่ได้เร็ว และช่วยป้องกันท้องผูกได้ด้วย




เลี่ยงอาหารที่มีไขมันอิ่มตัวสูง มีงานวิจัยหลายชิ้นที่พบความเกี่ยวข้องระหว่างอาหารที่มีไขมันอิ่มตัวสูง กับโรคมะเร็ง โดยเฉพาะมะเร็งเต้านม มะเร็งลำไส้ใหญ่ และมะเร็งต่อมลูกหมาก อาหารที่มีไขมันอิ่มตัวสูงพบมากในไขมันสัตว์ เนย เนยแข็ง ครีมสด นมไขมันเต็ม ผู้ที่มีนิสัยชอบรับประทานอาหารไขมันอิ่มตัวสูง มักได้รับเส้นใยอาหารและสารต้านอนุมูลอิสระที่มาจากพืชผักน้อย ที่แน่ๆ ไขมันในอาหารทำให้อาหารรสชาติดีขึ้น และไขมันในปริมาณที่พอเหมาะเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับร่างกาย ดังนั้นวิธีทำให้ร่างกายได้รับไขมันที่ดีในปริมาณพอเพียง มีดังนี้

* ตัดไขมันออกจากเนื้อสัตว์ให้มากที่สุด
* เลือกรับประทานปลาอย่างน้อย 2-3 ครั้งต่อสัปดาห์
* รับประทานผัก ผลไม้ และธัญพืช ให้มากๆ
* เลือกนม และผลิตภัณฑ์ที่ทำจากนมไขมันต่ำ หรือปราศจากไขมัน
* ประกอบอาหารโดยใช้วิธีที่ใช้น้ำมันไม่มาก และเลี่ยงกะทิ
* ระวังเรื่องปริมาณอาหาร
* ถ้ามื้อไหนรับประทานอาหารไขมันสูง ควรรักษาสมดุลในอาหารมื้อถัดไปโดยการเลือกอาหาร เบาๆ
* เลือกใช้น้ำมันพืชทุกครั้งที่ประกอบอาหาร

ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ และระวังอย่าปล่อยให้น้ำหนักตัวเพิ่ม โรคอ้วนมีความสัมพันธ์กับมะเร็งเต้านม มะเร็งลำไส้ใหญ่ มะเร็งมดลูก และมะเร็งกระเพาะปัสสาวะ ดังนั้นวิธีป้องกันโรคอ้วนที่ดี คือ การออกกำลังกายอย่างน้อย 30 นาที 4 วันต่อสัปดาห์ ควบคู่ไปกับการควบคุมปริมาณอาหาร ผู้เชี่ยวชาญพบว่าการออกกำลังกายมีส่วนช่วยป้องกันโรคมะเร็ง โดยเป็นผลจากฮอร์โมนบางชนิด และช่วยกระตุ้นลำไส้ใหญ่ให้ถ่ายของเสียออกจากร่างกายได้ดีขึ้น แต่ปัญหาหนึ่งที่มักพบในกลุ่มคนทำงาน มีครอบครัวคือ ไม่มีเวลาออกกำลังกาย การทำตัวให้กระฉับกระเฉงอยู่เสมอให้มากก็เป็นวิธีออกกำลังได้เหมือนกัน คำแนะนำต่อไปนี้อาจช่วยได้

* ตื่นให้เร็วขึ้น 30 นาที ออกไปเดินรับลมยามเช้า หรือเปิดโทรทัศน์ดูข่าวไปออกกำลังกายไปด้วย
* ใช้บันไดแทนลิฟต์จะช่วยเผาผลาญพลังงานได้มากทีเดียว
* ใช้เวลาพักเที่ยงครึ่งหนึ่งไปเดินเล่นรอบตึก แทนที่จะนั่งรับประทานขนมต่อ
* เดินอย่างน้อย 5-10 นาที หลังอาหารทุกมื้อ หากเป็นคุณแม่ลูกอ่อนเอาลูกใส่เป้อุ้มแบบจิงโจ้ และออกไปเดินด้วยกัน จะเผาผลาญพลังงานได้มากกว่าเข็นรถเข็น
* ทำสวน
* เดินหรือขี่จักรยานเวลาไปทำธุระใกล้ๆ
* อย่านั่งดูโทรทัศน์เฉยๆ ทำงานบ้านหรือออกกำลังกายไปด้วย
* ใช้เครื่องทุ่นแรงให้น้อยที่สุด ถ้าทำขนมปังให้นวดแป้งเอง
* ซื้อหรือเช่าวิดีโอออกกำลังกายมาทำที่บ้านถ้าไม่อยากขับรถออกไปเต้นแอโรบิคที่อื่น
* ขณะพูดโทรศัพท์ ให้เดินไปเดินมาขณะพูด เผาผลาญพลังงานได้ไม่น้อยเลยทีเดียว




ควบคุมปริมาณแอลกอฮอล์ที่ดื่ม ถ้าคุณเป็นนักดื่ม การดื่มแอลกอฮอล์มากๆ เพิ่มความเสี่ยงต่อมะเร็งในตับ และถ้าคุณดื่มแอลกอฮอล์ควบคู่กับการสูบบุหรี่ด้วย จะเพิ่มความเสี่ยงของมะเร็งในปาก มะเร็งในลำคอ และมะเร็งในหลอดอาหาร สำหรับผู้หญิงการดื่มแอลกอฮอล์มากเกินควร จะเพิ่มความเสี่ยงของมะเร็งเต้านมด้วย เช่นเดียวกับคำแนะนำของอาหาร นั่นคือความพอดีเป็นสิ่งสำคัญ ผู้หญิงไม่ควรดื่มแอลกอฮอล์มากกว่า 1 ดริงค์ต่อวัน และผู้ชายไม่ควรเกิน 2 ดริงค์ต่อวัน สารก่อมะเร็งอื่นๆ ที่ไม่ใช่อาหารที่ทุกคนทราบดีคือ บุหรี่ กับแสงแดดในประเทศไทย พบว่าผู้ที่เสียชีวิตจากโรคมะเร็งมากที่สุดคือ มะเร็งในปอด ซึ่งสาเหตุหนึ่งคงมาจากบุหรี่นั่นเอง

“อาหารต้านมะเร็งไม่ใช่อาหารวิเศษที่หายากมีราคาแพงใดๆ เลย ผักผลไม้ ธัญพืช มีส่วนประกอบที่มีประโยชน์กับร่างกายมาก และยังเป็นอาหารต้านโรคมะเร็งที่ดี ทั้งนี้ร่วมกับการออกกำลังกาย ควบคุมน้ำหนักตัว เลือกอาหารที่สะอาด และลดการสูบบุหรี่ ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ จะช่วยให้ทุกคนห่างไกลจากโรคมะเร็งได้”

ที่มาข้อมูล : กฤษฎี โพธิทัต นิตยสาร Health Today 



สนับสนุนโดย

 อาหารเพื่อสุขภาพ

 อาหารเพื่อสุขภาพ

 อาหารเพื่อสุขภาพ


 อาหารเพื่อสุขภาพ


 อาหารเพื่อสุขภาพ


 อาหารเพื่อสุขภาพ


 อาหารเพื่อสุขภาพ



 เมนูอาหาร


อาหารเพื่อสุขภาพ ประโยชน์ดี ๆ จากถั่วอัลมอนด์


อัลมอนด์..ของว่างที่แสนจะมีประโยชน์ต่อสุขภาพ | เดลินิวส์

อัลมอนด์ เป็นถั่วประเภท Tree Nut ซึ่งให้คุณค่าสารอาหารต่อร่างกายมากกว่าถั่วประเภทคลุมดินอย่างถั่วลิสง ถั่วเขียว ฯลฯ และอัลมอนด์ยังถูกจัดให้เป็น 1 ใน 10 สุดยอดอาหารเพื่อสุขภาพ เพราะคุณประโยชน์ของอัลมอนด์มีมากมาย ในเมล็ดอัลมอนด์อุดมไปด้วยกรดไขมันที่จำเป็นต่อร่างกาย ประกอบไปด้วยกรดไขมันไม่อิ่มตัวเชิงเดี่ยว (Monounsaturated Fatty Acid) และกรดไขมันไม่อิ่มตัวเชิงซ้อน (Polyunsaturated Fatty Acid) ซึ่งช่วยเพิ่มระดับ HDL (High-Density Lipoproteins) หรือไขมันดี และช่วยลดระดับ LDL (Low-Density Lipoproteins) หรือไขมันเลว ทั้ง HDL และ LDL จะเป็นตัวพาคอเลสเตอรอลเคลื่อนที่ไปตามกระแสเลือด หากร่างกายมี LDL หรือไขมันเลวในปริมาณมาก คอเลสเตอรอลจะเคลื่อนที่ลำบาก และจะสะสมอยู่ตามผนังหลอดเลือด ตามเส้นเลือดที่ส่งไปเลี้ยงหัวใจและสมอง และถ้าคอเลสเตอรอลที่เกาะอยู่ตามหลอดเลือดไปรวมตัวกับสารอื่น อาจเกิดเป็นลิ่มไขมันทำให้หลอดเลือดตีบตัน ขัดขวางการไหลเวียนของกระแสเลือด หากเส้นเลือดตีบตันที่หัวใจ อาจทำให้เกิดโรคหัวใจ และหากเส้นเลือดตีบตันที่สมอง อาจทำให้เป็นอัมพาตได้ แต่ถ้าร่างกายเรามีไขมันดี หรือ HDL มากกว่า ก็จะช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดโรคหัวใจ เพราะ HDL จะช่วยให้คอเลสเตอรอลเคลื่อนที่ได้ดี และทำให้คอเลสเตอรอลหลุดออกจากผนังหลอดเลือด และส่งไปยังตับเพื่อกำจัดออกจากร่างกาย ในต่างประเทศมีการวิจัยถึงประโยชน์ของอัลมอนด์อย่างจริงจังกันมานานแล้ว ซึ่งผลการวิจัยจากหลากหลายสถาบันให้ผลตรงกันว่า อัลมอนด์มีบทบาทกับสุขภาพหัวใจอย่างมาก เพราะมีส่วนประกอบสำคัญอย่างกรดไขมันที่มีความจำเป็นต่อร่างกาย ทั้งกรดไขมันไม่อิ่มตัวเชิงเดี่ยวและเชิงซ้อน เมื่อรับประทานเป็นประจำ จึงมีส่วนช่วยป้องกันการเกิดโรคหัวใจได้เป็นอย่างดี ผลการวิจัยจากสถาบันชั้นนำทั้งในยุโรปและอเมริกายังพบว่า ถ้ารับประทานอัลมอนด์เพียงวันละ 1 หยิบมือ ช่วยลด LDL ได้ถึง 4.4% และถ้ารับประทาน 2 หยิบมือต่อวัน ช่วยลด LDL ได้ถึง 9.4% รวมไปถึงผลวิจัยจาก Nation Cholesterol Education Program ก็รายงานผลออกมาในรูปแบบเดียวกัน โดยให้กลุ่มตัวอย่างรับประทานอาหารที่มีและไม่มีอัลมอนด์ประกอบอยู่ พบว่าในกลุ่มที่มีการบริโภคอัลมอนด์มากขึ้น ระดับ LDL ก็จะลดลง และระดับ HDL ก็เพิ่มขึ้นด้วย 


นอกจากนี้ ยังมีการศึกษาให้กลุ่มตัวอย่างรับประทานอัลมอนด์เป็นอาหารเสริมเป็นเวลา 1 ปี โดย 6 เดือนแรกให้รับประทานอาหารตามปกติ และ 6 เดือนหลังให้รับประทานอัลมอนด์ในช่วงระหว่างมื้ออาหารประมาณ 52 กรัมต่อวัน เปรียบเทียบกันพบว่า กรดไขมันไม่อิ่มตัวเชิงเดี่ยวและเชิงซ้อนเพิ่มขึ้น กรดไขมันอิ่มตัวลดลง คอเลสเตอรอลและน้ำตาลลดลง จึงส่งผลโดยตรงในการช่วยลดอัตราเสี่ยงของการเกิดโรคหัวใจและเบาหวานได้ถึง 30 – 50% นอกจากกรดไขมันที่จำเป็นต่อร่างกายแล้ว อัลมอนด์ยังอุดมไปด้วยไฟเบอร์ โปรตีนจากพืช วิตามินบี วิตามินอี และโอเมก้า 3 ซึ่งจำเป็นสำหรับการเสริมสร้างเซลล์ที่สึกหรอของผิวหนัง เส้นผม ทั้งยัง ช่วยชะลอริ้วรอยก่อนวัย รวมทั้งไฟเบอร์ที่ได้จากอัลมอนด์ยังช่วยลดการเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งลำไส้ใหญ่ได้อีกด้วย ถึงแม้ว่าอัลมอนด์จะมีสารอาหารประเภทไขมันในปริมาณที่สูง แต่ไขมันจากอัลมอนด์นั้นเป็นไขมันที่ดี ช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลและจำเป็นต่อกระบวนการทำงานของร่างกาย ดังนั้น อัลมอนด์จึงเป็นอาหารที่ได้รับการแนะนำให้รับประทานเพื่อลดคอเลสเตอรอลและรับประทานแทนอาหารที่มีไขมันอิ่มตัว โดยไม่ทำให้น้ำหนักตัวเพิ่มขึ้นแต่อย่างใด เราจึงรับประทานอัลมอนด์แทนของหวานหรือขนมขบเคี้ยวระหว่างวันได้อย่างสบาย ๆ แถมได้คุณค่าจากธรรมชาติไปเต็ม ๆ เม็ดอีกด้วย อ่านมาถึงตรงนี้แล้ว ผู้เขียนขอฝากเจ้าอัลมอนด์ไว้ในอ้อมใจของคุณผู้อ่านที่รักสุขภาพทั้งหลาย ที่จะคิดถึงเป็นอันดับต้น ๆ ในการเลือกทานเป็นของว่างเพื่อสุขภาพกันนะคะ สวัสดีปีใหม่ ขอให้เป็นปีที่เราตั้งใจจะเลือกทานอาหารที่ดี มีประโยชน์ต่อสุขภาพกัน เพราะสุขภาพดีไม่มีขาย อยากได้ต้องเลือกรับประทานกันเองนะคะ โดย “PrincessFangy” Twitter @Princessfangy“

อ่านต่อที่ : http://www.dailynews.co.th/article/206024



สนับสนุนโดย

 อาหารเพื่อสุขภาพ

 อาหารเพื่อสุขภาพ

 อาหารเพื่อสุขภาพ


 อาหารเพื่อสุขภาพ


 อาหารเพื่อสุขภาพ


 อาหารเพื่อสุขภาพ


 อาหารเพื่อสุขภาพ




 เมนูอาหาร

อาหารเพื่อสุขภาพ เรื่องของปลากระป๋อง





โทษของปลากระป๋อง

 จากการสุ่มตัวอย่างปลากระป๋องจำนวน 5 ยี่ห้อเพื่อนำมาวิเคราะห์หาการตกค้างของสารปรอท เหตุที่เลือกสารปรอทก็เพราะในอุตสาหกรรมบางชนิด มีการใช้สารปรอทเป็นวัตถุดิบ เช่น โรงงานผลิตเยื่อกระดาษ โรงงานผลิตพลาสติก โรงงานผลิตเภสัชภัณฑ์ โรงงานเหล่านี้มักปล่อยสารปรอทออกมากับน้ำทิ้ง หรือน้ำเสียของโรงงาน เลยเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้สารปรอทตกค้างในแม่น้ำลำคลอง หรือทะเล เมื่อผู้บริโภครับประทานอาหารทะเลเข้าไป ก็อาจได้รับสารปรอทเข้าไปในร่างกาย และสารตัวนี้จะสะสมอยู่ในเม็ดเลือดแดง ไต สมอง หรืออวัยวะต่างๆ ซึ่งจะส่งผลทำให้อวัยวะนั้นๆ ทำหน้าที่น้อยลง ถ้าได้รับเป็นจำนวนมากจะปรากฎอาการพิษ เช่น มีน้ำลายมาก มือไม้สั่นไปทั่วตัว ทรงตัวอยู่ไม่ได้ ความคิดสับสน ความจำเสื่อม สุดท้ายจะง่วงซึม หมดสติและอาจตาย และผลการสำรวจครั้งนี้ปรากฎผลการปนเปื้อนสารปรอทในปลากระป๋องทุกตัวอย่าง แต่ปริมาณที่พบนั้น ยังไม่เกินมาตรฐานของกระทรวงสาธารณสุข ตามประกาศกระทรวงสาธารณสุข ฉบับที่ 98 (พ.ศ. 2529) เรื่องมาตรฐานอาหารที่มีสารปนเปื้อน ซึ่งกำหนดให้มีสารปรอทปนเปื้อนในอาหารได้ไม่เกิน 0.5 มิลิลกรัม/อาหาร 1 กิโลกรัม ก็ยังโชคดีที่คนนิยมกินปลากระป๋องยังกินกันได้ต่อไป แต่ก็ไม่ควรทานบ่อยเกินไปนะคะ ส่วนประโยชน์ก็ได้แคลเซียม โปรตีน โอเมก้า3 ไงค่ะ และถ้าปวดหัว กินปลามากๆ ทั้งปลาทะเล ปลาน้ำจืด น้ำมันจากปลา มีสรรพคุณป้องกันการปวดหัว กินพร้อมๆ กับขิง จะช่วยบรรเทาอาการปวดหัวลงได้ค่ะ 




การกินปลากระป๋องให้ได้ประโยชน์สูงสุด 

ขึ้นชื่อว่าปลา ยังไงก็ดีต่อสุขภาพ ไม่ว่าเป็นปลาน้ำจืด ปลาทะเล หรือแม้แต่ปลากระป๋อง เรายังมีวิธีกินปลากระป๋องที่ได้ประโยชน์สูงสุดมาบอกด้วย ปลาซัลมอน ปลาทูน่า ปลาซาร์ดีน หรือปลากระป๋องอื่นๆ มีกรดไขมันโอเมก้า3 ในปริมาณที่เท่ากับปลาสด กรดไขมันเหล่านี้ช่วยป้องกันหัวใจเต้นผิดจังหวะการอักเสบ และการก่อตัวของลิ่มเลือดในหลอดเลือด สำหรับการเลือกซื้อปลากระป๋อง แนะนำให้เลือกปลากระป๋องชนิดบรรจะในน้ำ เนื่องจากน้ำกับไขมันผสมเข้ากันไม่ได้ กรดไขมันโอเมก้า3 จึงยังถูกเก็บรักษาอยู่ในเนื้อปลาอย่างครบถ้วน แต่ถ้าเป็นแบบบรรจุในน้ำมัน กรดไมันจะไหลออกมาปะปนกับน้ำมันที่ใช้บรรจะ ทำให้สูญเสียกรดไขมันบางส่วนไป การกินปลากระป๋องมีข้อเสียอยู่ตรงที่มีโซเดียมส่วนเกินผสมอยู่ ปลาทูน่าหรือปลาซัลมอนกระป๋องปริมาณ 85 กรัม มีโซเดียมบรรจุอยู่มากกว่า 300 ม.ก. (คิดเป็นหนึ่งในเจ็ดของปริมาณที่ต้องการในแต่ละวัน) การล้างปลาก่อนนำไปบริโภค อาจช่วยลดปริมาณโซเดียมได้นิดหน่อย

ขอขอบคุณคำแนะนำดี ๆ จาก : http://www.hisoclub.net/2011/01/blog-pos



สนับสนุนโดย

 อาหารเพื่อสุขภาพ

 อาหารเพื่อสุขภาพ

 อาหารเพื่อสุขภาพ


 อาหารเพื่อสุขภาพ


 อาหารเพื่อสุขภาพ


 อาหารเพื่อสุขภาพ


 อาหารเพื่อสุขภาพ




 เมนูอาหาร

อาหารเพื่อสุขภาพ กับแง่คิดของการทานเนื้อไก่



จำได้ว่าเคยหยิบยกเรื่อง “ไก่เนื้อไทยไร้สารเร่งการเจริญเติบโต” มาพูดอยู่บ่อยครั้ง นั่นเพราะยังมีพ่อแม่ผู้ปกครองอีกไม่น้อยที่ห่วงใยว่าจะให้บุตรหลานรับประทานเนื้อไก่ได้หรือไม่ จะมีความปลอดภัยเพียงพอหรือเปล่า จะมีสารตกค้างทำให้ลูกหลานโตก่อนวัยไหม ด้วยสงสัยที่ไก่เนื้อปัจจุบันใช้เวลาเลี้ยงน้อยลงกว่าในอดีต…ข้อห่วงใยและสงสัยเหล่านี้นับว่าเป็นการตัดโอกาสการเข้าถึงโปรตีนคุณภาพดีอย่างเนื้อไก่ ทั้งๆ ที่ข้อเท็จจริง คือ “ไก่เนื้อไทยปลอดภัยได้มาตรฐานโลก”

ในฐานะของคนหนึ่งที่คร่ำหวอดในวงการสัตว์ปีกมากว่า 20 ปี ขอยืนยันว่าในกระบวนการเลี้ยงไก่เนื้อของไทยทั้งอุตสาหกรรมรวมทั้งของซีพีเอฟนั้น ไม่มีการใช้สารฮอร์โมนเร่งการเจริญเติบโตแต่อย่างใด จึงเป็นไปไม่ได้ที่จะมีสารชนิดนี้ตกค้างอยู่ในเนื้อไก่จนส่งผลให้เกิดภาวะการณ์ต่างๆที่กล่าวอ้าง

เหตุที่กล้ายืนยันเช่นนั้นเพราะเมื่อปี 2529 กระทรวงสาธารณสุขได้มีคำสั่งกระทรวงฯ ที่417/2529  เรื่องเพิกถอนตำรับยาที่มีเนื้อหาใจความว่า ประกาศห้ามใช้ยาเฮ็กโซเอสตรอล (Hexoestrol) ซึ่งเป็นยาที่ใช้สำหรับตอนสัตว์ปีกและเป็นฮอร์โมนสำหรับรักษาสัตว์ซึ่งยาที่ห้ามก็คือสารเร่งการเจริญเติบโตนั่นเอง  นอกจากนี้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ก็มีประกาศกระทรวงฯเรื่องข้อปฏิบัติการควบคุมการใช้ยาโดยห้ามใช้ฮอร์โมนเร่งการเจริญเติบโตและสารต้องห้ามตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ประกาศกำหนดออกมาควบคุมด้วยอีกลำดับหนึ่ง…ส่วนประเทศคู่ค้าสำคัญของเนื้อไก่จากไทยอย่างสหภาพยุโรปก็มีประกาศห้ามใช้ฮอร์โมนในการเลี้ยงสัตว์

จึงเป็นไปไม่ได้ที่อุตสาหกรรมไก่เนื้อจะใช้ฮอร์โมนเร่งการเติบโต  เพราะผิดทั้งกฏหมายของประเทศไทยและขัดต่อข้อบังคับของสหภาพยุโรปซึ่งเป็นกลุ่มประเทศคู่ค้าสำคัญ

ส่วนกรณีที่ไก่เนื้อทุกวันนี้โตเร็วนั้น  เป็นเพราะกระบวนการคัดเลือกสายพันธุ์ตามธรรมชาติที่พัฒนาโดยใช้หลักการง่ายๆด้วยพื้นฐานวิชาพันธุศาสตร์ ตั้งแต่สายพันธุ์แท้สู่รุ่นทวดพันธุ์จากการประยุกต์วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีการแพทย์ของมนุษย์มาใช้ในการปรับปรุงพันธุ์ มีการใช้อุปกรณ์วัดความจุปอด (oximeter) เป็นการคัดเลือกพันธุกรรมของไก่เนื้อที่จะถ่ายทอดมายังรุ่นลูกหลานมีปอดเพื่อแลกเปลี่ยนอากาศที่แข็งแรงและเหมาะสมกับอัตราการเติบโตของร่างกาย อีกทั้งมีการใช้อุปกรณ์วัดคลื่นหัวใจและการทำงานของหัวใจ (ECG) รวมทั้งวัดระดับความดันเลือด เช่นเดียวกับในมนุษย์เพื่อที่จะได้พันธุ์ไก่ที่มีพันธุกรรมมีความแข็งแรงของหัวใจเพื่อระบบหมุนเวียนโลหิตในร่างกายที่ดีเยี่ยม นอกจากนี้แล้วยังมีการใช้อุปกรณ์วัดความแข็งแรงโดยเฉพาะอย่างยิ่งของโครงสร้างกระดูกขา (Lixi Scope) และเครื่องเอ็กซเรย์ (X-Rays) เพื่อรองรับการเติบโตที่ดีอย่างสมดุลย์




เมื่อไก่ที่ได้รับการพัฒนาด้านพันธุกรรมที่ดีแล้วนำไปเลี้ยงในสิ่งแวดล้อมที่เหมาะสม ให้อาหารที่มีโภชนาการที่ดีกับการเจริญเติบโตของไก่แต่ละช่วงวัย ภายใต้การเลี้ยงที่ถูกต้อง และมีมาตรฐานการป้องกันโรคที่ดีไก่เนื้อก็จะแสดงลักษณะภายนอกที่เห็นได้ คือมีการเติบโตรวดเร็วและมีสุขภาพดี ที่กล่าวมาทั้งหมดนี้ คือเหตุผลที่ว่าไก่เนื้อมีศักยภาพเติบโตดีตามพันธุกรรมธรรมชาติ และภาคอุตสาหกรรมไก่เนื้อของไทยสามารถลดระยะเวลาจากที่เคยเลี้ยง 52 วันลงมาเหลือราว 45 วัน

นอกจากเรื่องการพัฒนาสายพันธุ์แล้ว  กระบวนการบริหารจัดการฟาร์มที่พัฒนาอยู่ตลอดเวลาก็ช่วยให้ไก่ที่เลี้ยงเติบโตได้เร็วโดยเฉพาะการเลี้ยงด้วยระบบโรงเรือนปิดปรับอากาศด้วยการระเหยของน้ำหรือที่เราเรียกว่าโรงเรือนอีแวป ที่สามารถควบคุมได้ตามที่ไก่ต้องการทุกอย่าง  ตั้งแต่การระบายอากาศ  แสงสว่าง การให้อาหารและน้ำด้วยระบบอัตโนมัติช่วยให้ไก่ไม่เครียด อีกทั้งการให้ไก่ได้พักผ่อนอย่างเพียงพอ  ก็ทำให้ไก่สุขภาพดีโตเร็ว เหมือนกับการเลี้ยงเด็กที่ต้องมีเวลานอนหลับพักผ่อน ซึ่งการเลี้ยงในโรงเรือนปิดก็มีการกำหนดช่วงเวลานอนหลับพักผ่อนให้ไก่อย่างน้อยวันละ 6-8 ชั่วโมงเช่นกัน เพราะหากไก่ได้รับความเข้มแสงสว่างที่มากและยาวนานเกินไป จะทำให้ไก่เกิดความเครียดเนื่องจากระดับสมดุลในร่างกายเปลี่ยนไปอาจทำให้ไก่ตายอย่างฉับพลันในช่วงท้ายของการเลี้ยง อันเนื่องมาจากการทำงานที่มากเกินไปของระบบหัวใจเกิดปัญหาขาเสียมากขึ้น อีกทั้งเกิดปัญหาด้านผิวหนังจากการจิกหรือการขีดข่วน

ในส่วนของอาหารไก่ที่คาดเดากันว่า อาจจะมีการใส่สารบางอย่างเข้าไปเพื่อเร่งการเจริญเติบโตนั้น ต้องบอกว่า “เป็นไปไม่ได้” เพราะมาตรฐานของอาหารสัตว์ก็ถูกควบคุมอย่างเข้มงวดเช่นกัน เมื่อห้ามใช้สารฮอร์โมนเร่ง ก็หมายถึงว่า จะต้องไม่มีสารฮอร์โมนเร่งในอาหารสัตว์ ส่วนที่เกรงกันว่าจะมีสารตกค้างจากการเพาะปลูก ทางผู้ผลิตอาหารสัตว์ก็มีมาตรการตรวจสอบอย่างละเอียด ก่อนนำมาผลิตอาหารสัตว์  เป็นไปไม่ได้ที่เราจะปล่อยให้วัตถุดิบที่จะใช้ทำเป็นอาหารมีการปนเปื้อน เพราะนั่นจะเป็นอันตรายต่อไก่และจะก่อให้เกิดผลเสียกับผู้บริโภคและธุรกิจโดยตรง...แล้วใครจะกล้าเสี่ยงไม่ได้

ส่วนข้อที่ว่ามีการฉีดยาเพื่อเร่งการเจริญเติบโตให้ไก่ตั้งแต่ยังเป็นลูกเจี๊ยบ หรือแม้แต่ฉีดเข้าตัวไก่ที่เลี้ยงอยู่ในฟาร์มนั้น  นับว่าเป็นความเข้าใจผิด ทั้งนี้ไก่ทุกตัวจะต้องได้รับวัคซีนเพื่อป้องกันโรคพื้นฐานของไก่ไม่ใช่การฉีดยาเพื่อเร่งการเจริญเติบโต และปัจจุบันในฟาร์มไก่เนื้อไม่มีการจับตัวไก่เพื่อฉีดยาหรือวัคซีนใดๆและวัคซีนที่ไก่ได้รับนี้ ยืนยันว่ายังไม่เคยพบรายงานการตกค้างในเนื้อไก่แถมยังมีการการันตีโดยกรมปศุสัตว์โดยเจ้าหน้าที่ปศุสัตว์ท้องที่ต้องอนุญาตก่อนที่จะมีการนำไก่เข้ากระบวนการแปรรูปด้วย

เรื่องของการเป็นหนุ่มเป็นสาวเร็วนี้ ต้องมองไปที่พฤติกรรมการบริโภคที่ไม่ถูกต้อง ที่ทำให้เกิดภาวะโภชนาการเกิน เช่นการกินอาหารที่มีไขมันสูง ภาวะคอเลสเตอรอลสูงในเด็ก นับเป็นสาเหตุหลักของปัญหาดังนั้น พ่อแม่ควรตระหนักและให้ความสนใจกับเรื่องดังกล่าวโดยหลีกเลี่ยงภาวะอ้วนในเด็ก เน้นการออกกำลังกาย และรับประทานอาหารครบ 5 หมู่

หวังว่าข้อมูลข้อเท็จจริงทั้งหมดนี้ คงพอจะช่วยไขข้อข้องใจของท่านผู้ปกครอง...ทำให้ไก่ที่กลายเป็นแพะมานานได้พ้นข้อกล่าวหาเสียที


โดย นายสัตวแพทย์พยุงศักดิ์ สมยานนทนากุล
รองกรรมการผู้จัดการ ด้านบริการวิชาการสัตว์ปีก บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน)





สนับสนุนโดย

 อาหารเพื่อสุขภาพ

 อาหารเพื่อสุขภาพ

 อาหารเพื่อสุขภาพ


 อาหารเพื่อสุขภาพ


 อาหารเพื่อสุขภาพ


 อาหารเพื่อสุขภาพ


 อาหารเพื่อสุขภาพ




 เมนูอาหาร

อาหารเพื่อสุขภาพ กับการพักผ่อน

การนอนดึกมากหรือนอนพักผ่อนไม่เพียงพอ จะทำให้สุขภาพของร่างกายเสื่อมโทรมมาก ทั้งกายและจิตใจ ร่างกายจะอ่อนเพลีย หมดแรงทำงานไม่ไหว จะเกิดอาการมึนงง ปวดหัว กินไม่ได้ ท้องอืด ท้องแน่น ท้องเฟ้อ มึนชาตามตัว ทางด้านจิตใจจะทำให้หงุดหงิด โมโห โกรธง่าย จิตใจไม่มีสมาธิ ฟุ้งซ่าน
การนอนไม่หลับก็เป็นสาเหตุอันหนึ่งของการนอนไม่เพียงพอ สาเหตุของการนอนไม่หลับ เกิดจากร่างกาย จิตใจ และพฤติกรรมของคนเราเอง เช่น การดูวิดีโอ โทรทัศน์ที่มันตื่นเต้นมากเกินควร ทำให้นอนไม่หลับ คิดมาก ส่วนกาแฟตอนค่ำก็นอนไม่หลับ ถ้าเกิดจากร่างกายไม่แข็งแรง ไม่สมบูรณ์ และอ่อนแอ ก็สมควรอย่างยิ่งที่จะออกกำลังกายโดยสม่ำเสมอ หรือการเล่นกีฬาใดๆก็ได้ตามความเหมาะสมของครอบครัวและสภาวะเศรษฐกิจ
การวิ่งเป็นการออกกำลังกายที่ประหยัดมากที่สุดในภาวะปัจจุบันนี้ เพราะไม่ต้องเช่าสถานที่เหมือนการว่ายน้ำ ตีเทนนิส เล่นกอล์ฟ ซึ่งดูเหมือนจะเหมาะสมกับคนรวยๆมากกว่า ถ้าหากท่านออกกำลังกายสม่ำเสมอ ปกติดีทุกวัน ตอนกลางคืนจะทำให้ท่านนอนหลับดีมาก โดยไม่ต้องพึ่งยาใดๆ


การพึ่งยานอนหลับนานๆเป็นสิ่งที่อันตรายมากที่สุด เพราะติดยานั้นเลิกยาก ตายง่าย ยานอนหลับและยากล่อมประสาทถ้านานๆเดือนหนึ่งกินครั้งหนึ่ง หรือสองครั้ง เพราะมีปัญหาก็ไม่เป็นไร ถ้ากินบ่อยๆจะอันตรายที่สุดในโลก
การนอนหลับนั้น ไม่จำเป็นต้องนอนยาวนาน รวดเดียว 6 หรือ 8 หรือ 10 ชั่วโมง อาจจะแบ่งนอนเป็นช่วง ถ้าหากมีธุระกลางคืน หรือมีความจำเป็นบางประการ แล้วแต่อาชีพและความเหมาะสม เพราะถ้าหากรับราชการ หรือเป็นลูกจ้างเขา ไปแอบหลับในเวลางานก็คงถูกไล่ออกแน่ๆ
อย่างไรก็ตาม ท่านควรจะนอนพักทุกครั้งที่ว่าง ถ้าไม่ขัดต่ออาชีพและความเป็นไปได้ เพราะการนอนหลับนั้นเป็นกำไรอย่างยิ่ง ท่านจะสุขสดชื่นทันทีที่ตื่นนอน แม้เพียง 5-10 นาทีก็ยังดี ร่างกายมนุษย์เหมือนเครื่องจักรที่ทำงานตลอดเวลาถ้าหากได้พักบ้าง ประสิทธิภาพของมันจะทำงานดีขึ้น แต่การนอนต้องไม่ใช่ลักษณะของคนเกียจคร้าน ควรจะเป็นลักษณะของการพักผ่อนเพื่อสุขภาพ ถ้าหากนอนเล่นตลอดคืนตลอดวัน ไม่ทำงานอะไรเลย ก็แย่เหมือนกันเพราะว่าสังคมจะไม่ยอมรับ
การนอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอควรจะควบคู่ไปกับการออกกำลังกายและการกินอาหารโปรตีน ผักสดให้เพียงพอ สุขภาพของคนเป็นสิ่งที่สำคัญมาก หากสุขภาพเสื่อมโทรม ไม่มียาวิเศษหรือวิตามินที่ไหนจะช่วยได้

ความจริงการนอนหลับพักผ่อนมิได้ขึ้นอยู่กับจำนวนชั่วโมง หรือความยาวนานของเวลาแต่เพียงประการเดียว ยังขึ้นกับการนอนหลับสนิทหรือไม่ บางคนอาจจะนอนหลับๆตื่นๆตลอดเวลา เพราะร่างกายและจิตใจ ร่างกายอาจจะเกิดจากโรคเบาหวาน ต้องปัสสาวะบ่อย หรือกินยาขับปัสสาวะผิดเวลา เช่น ต้องกินตอนเช้า แต่มากินตอนเย็น เป็นต้น จิตใจก็อาจจะเกิดจากความวิตกกังวลหรือตึงเครียด หรือวันรุ่งขึ้นเป็นวันสำคัญ เช่น การสอบใหญ่ การเดินทางพิเศษ หรือบุคคลพิเศษจะเดินทางมา เป็นต้น การนอนหลับไม่สนิทเช่นนี้ทำให้วันต่อๆมาง่วงหาวนอน ก็ควรจะหาโอกาสนอนจนเต็มที่ชดเชย ทดแทนที่นอนไม่หลับ
ความจริงยังมีสาเหตุอื่นๆอีกมากมายที่ร่างกายต้องการนอนหลับพักผ่อนเพิ่มเติม เช่น บางคนมีแฮงค์ โอเวอร์ จากดื่มสุรากลางคืน ตอนเช้าวันรุ่งขึ้น ต้องการนอนเพิ่มเติม หรือจากการร่วมเพศ วันรุ่งขึ้นก็ต้องการนอนชดเชย มิฉะนั้นอาจจะรู้สึกมึนงง และง่วงหาวนอนซึมตลอดเวลา
การนอนให้เพียงพอไม่ขัดกับอาชีพ และการยอมรับของสังคม เป็นยารักษาความอ่อนเพลียที่ถูก และวิเศษที่สุดในโลก
ที่มา  http://caochu.com

สนับสนุนโดย

 อาหารเพื่อสุขภาพ

 อาหารเพื่อสุขภาพ

 อาหารเพื่อสุขภาพ


 อาหารเพื่อสุขภาพ


 อาหารเพื่อสุขภาพ


 อาหารเพื่อสุขภาพ


 อาหารเพื่อสุขภาพ




 เมนูอาหาร